สวัสดีครับ!
ช่วงสิงหาที่ผ่านมา ไปซ์ได้ไปดูงานที่ประเทศสวีเดนกับทางมหาวิทยาลัย มีโอกาสได้ไปพิพิธภัณฑ์ชื่อ Tom Tits Experiment ประทับใจมาก จัดว่าเป็นที่ๆ ชอบอันดับ 1 เลย อยากมาแชร์ให้ทุกคนได้ฟัง
ที่นี่น่าจะถูกเรียกว่าสวนสนุกมากกว่าพิพิธภัณฑ์
บ้านเราพอพูดว่าพิพิธภัณฑ์อาจจะให้ความรู้สึกน่าเบื่อ แต่สำหรับที่ประเทศอื่นแล้วไม่ใช่เลย ที่นี่มีเครื่องเล่นที่อธิบายปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์ที่เราเรียนกันตั้งแต่ประถมยันมัธยม แต่เล่าออกมาได้ง่ายมากๆ และเราเรียนรู้ปรากฏการณ์เหล่านี้ผ่านการลงมือเล่น ใช่ครับฟังไม่ผิดหรอก ต้องเล่นเท่านั้นถึงจะเข้าใจ เครื่องเล่นแต่ละอย่างถูกวางไว้ทั่ว ตามพื้น ตามกำแพง ตามสวน เราต้องหาเองว่าอะไรเล่นได้ไม่ได้ ซึ่งวิธีดูง่ายๆ คือ ถ้าหน้าตาของมันแปลกๆ หรือมันดูไม่น่าจะเข้ากับที่ๆ มันถูกวาง เช่น ทำไมมีไม้พาดอยู่กลางถนน ทำไมมีโต๊ะกลมๆ มีรูตรงกลางหน้าห้องน้ำ มันไม่ควรจะอยู่ด้วยกัน นั่นแหละครับอันนั้นน่าจะเล่นได้ โดยเครื่องเล่นส่วนใหญ่ก็ไม่บอกอีกว่าต้องเล่นยังไง ถูกตั้งไว้เฉยๆ แล้วให้เราค้นพบวิธีเล่นด้วยตัวเอง และตรงนี้แหละครับที่น่าประทับใจ เมื่อเจออะไรแบบนี้สถานที่แปลกๆ ที่เต็มไปด้วยของให้เราค้นหา ทุกคนก็กลายเป็นเด็กอีกครั้ง เราวิ่งไปทั่วเพื่อหาว่ามีอะไรบ้างที่เล่นได้และเล่นยังไง ที่นี่เปิดจิตวิญญาณความอยากรู้อยากเห็น ความเป็นนักสำรวจสมัยเด็กคืนมา
ที่นี่ถูกแบ่งเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ คือลานกว้างที่เป็นสวน เต็มไปด้วยเครื่องเล่นที่ซ่อนอยู่ในสวน และอีกส่วนคืออาคารซึ่งมีทั้งหมด 4 ชั้นเต็มไปด้วยเด็กตั้งแต่วัยหัดเดินจนถึงเด็กมัธยมปลาย ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กประถม มีผู้ใหญ่บ้าง
ที่น่าแปลกใจคือ Staff ของที่นี่ส่วนมากเป็นผู้สูงอายุวัยหลังเกษียณ ทราบทีหลังว่าเป็นอาจารย์วิศวกรผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ มาประจำตามจุด คอยดูเผื่อว่าจะมีใครสงสัยอยากถามอะไรหรือไม่ มองในมุมนึงประเทศนี้ก็ใช้ทรัพยากรมนุษย์ได้คุ้มดี เอาคนเกษียนอายุมาทำงานสนุกๆ และถ่ายทอดความรู้ให้คนรุ่นหลัง
เครื่องเล่นแต่ละชิ้นถูกออกแบบมาให้เด็กๆ เล่นได้อย่างเต็มที่ทุบตีได้เต็มที่ ไม่มีปัญหาเรื่องชำรุด สังเกตจากความแข็งแรงของแต่ละอย่างบวกกับไม่เจอป้ายติดเลยว่าเครื่องชำรุด เพราะว่าคนออกแบบเค้าคิดมาแล้วว่า พฤติกรรมของเด็กเป็นยังไง และมันยิ่งสะท้อนความเข้าใจเรื่องการศึกษาของประเทศนี้ได้ชัดเจนขึ้น การมองว่าการเรียนรู้ไม่ได้เกิดขึ้นในห้องเรียน การเข้าใจว่าการเล่นคือการเรียนแบบหนึ่งและเด็กๆ ก็ชอบเล่น ยิ่งเล่นยิ่งเรียนรู้ การออกแบบไม่ให้รู้แต่แรกว่าอะไรเล่นได้ ที่เล่นได้อยู่ตรงไหน ทำให้เด็กๆ เพิ่มความอยากรู้ อยากหาทางเล่น ถ้ายิ่งมาเป็นกลุ่มยิ่งช่วยกันเล่น และสิ่งที่เล่นไป เด็กๆ อาจไม่ต้องเข้าใจตอนนี้ แต่เค้าจะมีความทรงจำติดตัวและไปเรียนต่อในห้องเรียน ทำให้เวลาเรียนก็เห็นภาพมากขึ้น และนี่อาจเป็นการปลูกฝังให้เด็กๆ ไม่เกี่ยงวิทยาศาสตร์อีกด้วย
ต่อไปจะเล่าให้ฟังคร่าวๆ ว่ามีของเล่นอะไรน่าสนใจบ้าง ภาพด้านบนเป็นภาพสื่อการสอนเรื่องคุณสมบัติของวัสดุชนิดต่างๆ โดยจะมีกล่องแยกเป็นคุณสมบัติด้านต่างๆ กล่องแรกจะเป็นกล่องปริศนาสามารถเปิดแล้วล้วงมือเข้าไปสัมผัสลักษณะทางกายภาพของวัสดุชนิดนั้นๆ ให้เห็นถึงเนื้อสัมผัสของวัสดุที่แตกต่างกัน กล่องที่สองเป็นกล่องคุณสมบัติการนำไฟฟ้าโดยจะมีพวงมาลัยอยู่ตรงกึ่งกลางควบคุมลูกศรที่ชี้ไปที่วัสดุแต่ละชนิดในกล่องแรก ถ้าหากหมุนพวงมาลัยให้ลูกศรชี้ไปที่วัสดุชนิดต่างๆ แล้วหลอดไฟในกล่องไฟติดแสดงว่าวัสดุชนิดนั้นมีคุณสมบัติการนำไฟฟ้า อันนี้ว้าวมาก เค้าเอาเรื่องคุณสมบัติของวัสดุมาให้จำได้อย่างน่าสนใจ
อันนี้คืออุปกรณ์ที่เป็นล้อจักรยานพร้อมที่จับเป็นอุปกรณ์สำหรับทดลองเรื่อง Gyro Wheel โดยทดลองโดยการหมุนล้อแล้วทดลองบิดล้อเอียงไปมา จะพบว่าเหมือนมีแรงต้านส่งมาที่มือ ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า Gyro Effect ถ้าเรียนฟิสิกส์แล้วมีภาพอันนี้ในหัวตั้งแต่แรกก็คงเข้าใจเรื่อง Torque ได้ไวกว่านี้ 555
ภาพด้านบนเป็นแผ่นกระดานที่มีลูกไม้กลมๆ ด้านในจำนวนหลายลูกและเมื่อเทมาด้านใดด้านหนึ่ง ลูกไม้จะกลิ้งมาตามแรงโน้มถ่วงมากองกันที่อีกด้าน แต่จะถูกแบ่งด้วยไม้ขั้นเป็นชั้นๆ และเมื่อลูกไม้เทมากองจนครบจะพบว่า จำนวนลูกไม้ที่ถูกขั้นไว้ จะมีจำนวนกองช่วงกลางมากที่สุดและน้อยที่สุดด้านนอก เป็นการจำลองการการกระจายตัวแบบปกติ (Normal Distribution) ที่อยู่ในวิชาสถิติ หมายความว่าถ้าเราสุ่มลูกบอลมาจากกองนั้นเรามีโอกาสจะได้จากกองกลางมากที่สุด
เครื่องเล่นนี้ชื่อว่า Arched Bridge เป็นเครื่องเล่นสำหรับจำลองการสร้างโบสถ์สมัยก่อน ที่ไม่ได้มีโครงสร้างแบบปัจจุบัน อาศัยการออกแบบอิฐคล้ายลิ่มแล้ววางต่อกันมาเรื่อยๆ และเมื่อมีคีย์สโตน(หินอันกลางสุด)มาวางตรงกลาง จะสามารถล็อคให้อิฐทั้งหมดติดกัน ตามที่เห็นในสถาปัตยกรรมสมัยก่อย ทั้งสะพานหรือประตูโค้งของโบสถ์ สถานที่สำคัญต่างๆ ยิ่งมีแรงจากคนที่เหยียบลงมาอิฐแต่ละก้อนก็จะยิ่งเบียดกันแน่นขึ้น ทำให้โครงสร้างนี้ยิ่งแข็งแรง ตอนแรกมาถึงงงมากว่าเค้าให้ทำอะไรมีอิฐที่ทำจากโฟมอะไรสักอย่างนิ่มๆ กองอยู่แล้วตีนสะพานสองข้างเว้นตรงกลางไว้ แต่จากประสบการณ์การเล่นเกมแนว Puzzle กับสมองของเพื่อนวิศวะอีกหลายคนก็ทำให้เข้าใจ
เครื่องเล่นด้านบนเป็นเครื่องจำลองการเกิดเสียง ไม่ว่าเครื่องแบบไหนแต่ถ้าหากเกิดการสั่น จากวิธีใดก็ตามการเคาะ การทุบการโยก ก็สามารถทำให้เกิดเสียงได้ ในมุมนึงการได้เรียนพวกนี้แล้วก็ยิ่งทำให้เราว้าวมากขึ้น พอเข้าใจทฤษฎีการเกิดเสียงมาระดับนึง แล้วมาเจอ ก็ยิ่งเล่นสนุกขึ้น หาทางทำให้เครื่องสั่นให้ได้ ยิ่งหน้าตาเครื่องประหลาดๆ ยิ่งท้าทายว่าจะทำยังไงให้มันสั่น
อันนี้ชื่อ Mindball เป็นเครื่องที่วัดกระแสไฟฟ้าในสมอง โดยเป็นกระแสที่แสดงถึงความผ่อนคลายของสมอง เมื่อเกิดกระแสไฟฟ้าดังกล่าวลูกบอลตรงกลางโต๊ะจะเคลื่อนไปด้านหน้า ดังนั้นเกมนี้จะให้ผู้เล่นแข่งกันผ่อนคลายที่สุด เพื่อควบคุมลูกบอลให้ตรงไปด้านหน้า อันนี้ตลกมาก ใครทำตัวชิวที่สุดคนนั้นชนะ ทุกคนก็ต้องแข่งกันทำให้ตัวเองผ่อนคลาย มีฝรั่งคนนึงคือยอมใจมาก นั่งเอนหลัง เอามือท้าวคางเอาเท้าพาดไปบนโต๊ะ ชนะไปเลยจ้า
มีของเล่นอีกเยอะแยะมาก ลานกว้างด้านหน้ามีจรวดขวดน้ำ มีเกลียวของอะคีมีดิส อันนี้เคยเรียนสมัยสวนของบาร์บิโลน ได้เห็นชัดๆ ไปเลยว่ามันเวิร์ค ใช้งานได้จริง มีเขาวงกต มีแขนกลอันใหญ่ให้ขึ้นไปนั่งได้แล้วมันจะเหวี่ยงเรา มีขี่จักรยานไต่บนเชือกบนหอคอยสูง มีสตาฟและสลิงเซฟให้เรา ของเล่นอีกเยอะเลย เล่นไม่หมดเพราะเด็กๆ เยอะมาก อยากดูให้หมดไม่อยากเสียเวลาไปกับการต่อคิว มีสระน้ำเล็กๆ ให้เด็กๆ เล่น ลานกว้างหลังอาคารจะเป็นเครื่องเล่นเรื่องเสียง กับกลไกของน้ำ มีเขื่อนจำลอง มีท่อให้ลองต่อเพื่อควบคุมการไหลของน้ำ อันนี้สนุกมาก น่าดูว่าน้ำจะไหลจากไหนไปไหนบ้าง แล้วถ้าเราเปลี่ยนกลไกตรงนี้เช่น เปิดประตู เอาอะไรมาขั้นไว้ จะเกิดอะไรขึ้น ในอาคารก็เป็นเครื่องเล่นทั่วไป ไว้อธิบายทฤษฎีต่างๆ ก็จะมีพวกของเล็กๆ น้อย เล่นแปปเดียวจบอย่าง ลูกบอลสองลูกกลิ้งลงมาที่ทางชัน 2 แบบอันนึงตรงอันนึงโค้ง แต่อันโค้งถึงพื้นไวกว่าทั้งๆ ที่ระยะทางดูมากกว่า เป็นเรื่องเร่ง ที่เราเรียนกันในมอต้น ชั้นแรกกับชั้นสองจะคละๆ เรื่องกันที่สนุกสุดๆ คือห้องมืด เป็นห้องที่เราเข้าไปแม้จะลืมตาก็มองไม่เห็นอะไรเลยมันมืดมาก เข้าไปเดินคลำๆ ทางผ่านห้องต่างๆ ที่มีสิ่งกีดขวาง มีทางชัน เราจะเห็นได้เลยว่าความไม่รู้ทำให้เกิดความกลัว กลัวมากๆ สามารถทำให้มนุษย์ทำอะไรก็ได้ เพื่อนเราลงไปคลานกับพื้นเพราะทางมันชันแต่เอาจริงๆ มันชันนิดเดียวเอง ชั้นสามจะเป็นเรื่อง Illusion สิ่งที่เห็นอาจไม่ใช่ความจริง ก็จะมีภาพโชว์ให้เห็นว่าที่เราเห็นว่าคนละสีจริงๆ มันสีเดียวกัน ที่เราเห็นว่าอีกอันยาวกว่าจริงๆ แล้วมันเท่ากัน กลไกในสมองเรามันหลอกให้เราเห็นแบบนั้น ห้องพื้นขาวเปิดไฟเขียวกับห้องพื้นเขียวเปิดไฟขาว เราจะเห็นสีตามไฟที่ส่อง แปลว่าของไม่ได้สีนั้นแต่ไฟต่างหากที่ทำให้เราเห็นว่าของสีอะไร ชั้นบนสุดเกี่ยวกับชีวะ มีความรู้เรื่องร่างกาย เรื่องกำเนิดสิ่งมีชีวิต เค้าก็เล่าอย่างตรงไปตรงมาว่าคนเกิดมาได้ยังไง โดยไม่ปกปิดเด็ก มีเครื่องมือแพทย์ให้ลองเล่น มีความรู้เรื่องโรคภัย ลักษณะของอุจจาระแต่ละแบบบ่งบอกถึงอะไร
นอกจากนี้ยังมีโซนห้อง Lab ให้ทดลองทำ Bath Bomb มี Makerspace ให้ทำหุ่นยนต์เสียดายที่เวลาน้อยไปทำให้ไม่ได้เข้าทั้ง 2 อัน และยังดูของไม่ครบ นี่ขนาดมีเวลาตั้งหลายชั่วโมง ยังมีของอีกเยอะที่ยังไม่เจอและยังไม่พบวิธีเล่น เสียดายมาก
อันสุดท้ายที่พึ่งเห็นก่อนจะกลับคือ เก้าอี้ตะปู เป็นเก้าอี้ที่พื้นตรงเบาะที่ให้นั่งเป็นตะปูชี้ขึ้นวางเรียงหลายอัน ตอนแรกก็ตกใจว่า เอ๊ะ เค้าตั้งใจกวนรึป่าว เลยไม่ได้เล่น แต่พอกลับมาสงสัยมากเลยไปค้นแล้วพบว่าถ้าเรานั่งลงไปมันจะไม่เจ็บ เพราะแรงถูกกระจายไปยังตะปูแต่ละตัวแล้วทำให้เรารู้สึกว่ามีแรงทิ่มจากตะปูลดลง เลยไม่เจ็บ แต่พูดแค่นี้ก็ยังไม่เชื่อเนอะ มันต้องลองเล่น ตอนนี้ยังเสียดายอยู่เลยว่าจะไปหาเล่นได้ที่ไหนเนี้ย
สุดท้ายก็ ถ้าใครมีโอกาสไปสวีเด็น ก็อยากให้ทุกคนได้ลองไปสัมผัสที่นี่ดู เรื่องที่เคยเรียนไปฟังผ่านๆ ไปสมัยเรียนจะสนุกขึ้นทันที และยิ่งถ้ามีพื้นฐานความเข้าใจหลักการคุณจะยิ่งสนุก โอบกอดวิทยาศาสตร์ไว้ และสนุกกับมัน หวังว่าเรื่องนี้น่าจะทำให้ทุกคนได้แนวคิดบางอย่างกลับไป และเห็นว่าวิทยาศาสตร์ก็ไม่ได้น่าเบื่อเสมอไป แค่เปลี่ยนวิธีเล่าก็สนุกได้